top of page

                                    นานาสาระ                     

 

 

 

                                                                   พ่อท่านคล้ายวาจาสิทธิ์

 

 

 

 

 

 

 

 

    

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 ...ในตอนนั้นผมยังอายุไม่ถึง ๑๐ ขวบ...คุณพ่อรับราชการอยู่ที่นครศรีธรรมราช...ในช่วงนั้นร.ร.ปิดเทอมผมจึง

ได้ไปอยู่กับคุณพ่อที่นั่น...มีอยู่มาวันหนึ่งคุณพ่อได้พาผมไปหาพ่อท่านคล้ายที่วัดจันดี...เมื่อไปถึงที่วัดก็เห็นผู้คนมากมายมารอ...พ่อท่านคล้ายกันอยู่เต็มศาลา...ชั่วอึดใจใหญ่ก็มีคนแบกแคร่หามพาพ่อท่านคล้ายเข้ามาใน

ศาลา...คนที่ล้วนมารอสักการะท่าน...ต่างลุกกันขึ้นมาและหมอบคลานเข้าไปหาพ่อท่านคล้ายกัน...เป็นพัลวัน...

ในขณะนั้นเอง...คุณลุงขุนพันธ์ก็ได้มาถึงที่วัดพอดี...

...[ คงจะเป็นคุณพ่อนัดหมายให้ท่านมา ] ...

 

...แกเดินตรงเข้ามาหาคุณพ่อของผม...แล้วกล่าวว่า " คุณชัยยงค์...มาเร็ว...ผมจะพาไปกราบหลวงพ่อ "

 

 

       ...หลังจากนั้นกลุ่มของเรามี...ผม...คุณพ่อ...และนายตำรวจอีก ๒ นายก็ได้มาอยู่ตรงหน้าพ่อท่านคล้ายอย่างใกล้ชิด...คุณลุงขุนพันธ์และคุณพ่อผมก็ได้คุยกับท่านอยู่สักพัก...ตอนนั้นอากาศเริ่มร้อนขึ้นมามาก...

 

 

ผมเริ่มหงุดหงิดตามภาษาเด็กน้อย...ก็ร้องไห้และโวยวายเสียงดังสนั่น...พ่อท่านคล้ายท่านหันมาทางผม...แล้วให้คุณลุงขุนพันธ์นำตัวผมเข้าไปหาท่าน...พอถึงตัวท่าน...ท่านก็เอาผมไปไว้ที่ตักของท่านแล้วพูดภาษาทางใต้...

ซึ่งในตอนนั้น...ผมก็คงไม่เข้าใจอะไรนัก...ว่าให้หยุดร้องไห้...เด็กน้อย...ว่าแล้วท่านก็คายหมากออกจากปากท่าน...จับมายัดใส่ปากของผมเต็มคำทีเดียว...ได้ผลเกินคาด...ผมหยุดร้องไห้ทันที...

 

 

      ...คงน่าจะเป็นที่...หมากอยู่เต็มปากผมกระมัง...แถมท่านยักเป่าคาถาคาบลม ใส่ที่ศรีษะผมอีก...หลายๆครั้ง...ผมนั่งนิ่งเหมือนโดนสะกด...พอรู้สึกตัวได้ก็รีบลุกขึ้นวิ่งไปหาคุณพ่อผมในทันที...พร้อมกับที่จะคาย...

หมากออกจากปาก...คุณพ่อรีบล้วงเอาผ้าเช็ดหน้าออกมา...รองรับหมากจากปากผมในทันควัน...

 

 

      ...หลังจากวันนั้นคุณลุงขุนพันธ์ก็ได้มาหาที่บ้าน...นำผงที่ทำพระของท่าน...มาประสมกับชานหมากที่คุณพ่อได้เก็บไว้ในวันนั้น...และปั้นเป็นก้อนได้อยู่หลายลูก...

...ทุกวันนี้ผมก็ได้ใส่ลูกอมก้อนนั้นอยู่เป็นประจำ...เพราะมี...ประสพการณ์ที่เกิดขึ้นกับผมมากมาย...จนเกินกว่าที่จะเล่าให้ทุกคนได้รับฟังได้หมดในวันนี้...

 

 

 

     ...มาจนทุกวันนี้...ก่อนที่ผมจะมาเป็นโหราจารย์...ตอนที่ยังเล่นดนตรีอยู่...ข้างๆบ้านผมมีเพื่อนบ้านอยู่คนหนึ่ง...เป็นคนขี้เมา เวลาเมาทีไรจะโวยวายเสียงดังเป็นที่รบกวนชาวบ้านเป็นอย่างมากน่ารำคาญใจ...มีอยู่วันหนึ่งผมก็บ่นออกมาเป็นวาจาว่า"มันเมาแบบนี้ทุกวัน...น่าเบื่อจริงๆ...จะไปอยู่ที่ไหนก็ไปซะจะได้ไม่...ต้องเดือดร้อนชาวบ้านร้านค้าเขา"...หลังจากผมบ่นไปไม่นาน...ก็ปรากฎบุคคลขี้เมาคนนั้น...ก็ได้ย้ายบ้านไปอยู่ที่อื่นในเวลาต่อมา...ทั้งๆที่บ้านที่อยู่ก็เป็นบ้านของตัวเขาเอง...

 

 

 

     ...เรื่องแปลกๆก็ได้เกิดขึ้นอีกคือว่า...ตึกที่ผมอยู่ตอนนั้นเป็นตึก ๓ ชั้นริมถนนในซอยกลางด้านข้างมีถนนเข้าไปในซอยย่อยอีก...ตอนที่ซื้อตึก...คนที่ขายให้เป็นผู้รับเหมาก่อสร้าง...แกกะว่าห้องที่จะขายผม...แกจะอยู่อาศัยเอง...ดังนั้นตึกแถวห้องนี้จึงมีความกว้างกว่าห้องอื่นๆ...แล้วก็เกิดเรื่องขึ้นมาก็คือบ้านที่อยู่หลังตึกของผมนั้นมีนายตำรวจอาศัยอยู่ ๑ หลัง...นายตำรวจคงเห็นว่าห้องของผมใหญ่กว่าห้องอื่น...และได้ล้ำ...ออกไปที่ถนนในซอย...จึงมายืนโวยวายกล่าวหาว่าว่าตึกผมสร้างเกินออกไปที่ถนน...ตอนที่เขามาโวยวายนั้นผมไม่อยู่บ้าน...

พอผมกลับมาบ้านลูกชายได้เล่าให้ฟัง...ผมก็ของขึ้นไปยืนหลังบ้านแล้วโวยกลับไปบ้าง...

 

 

 

     ...พอกลับเข้ามาในบ้านผมก็พูดบ่นขึ้นมาลอยๆอย่างไม่ตั้งใจว่า " คนแบบนี้เสียแรงเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฐ์

กลับเป็นคนไม่มีเหตูผล...อย่างนี้น่าตาย...ไม่ได้เรื่องเลย..." อันที่จริงนายตำรวจคนนั้นไม่รู้ว่าผมเป็นลูกชายนายพล...จึงกล้ามาโวยวายแต่แรก...ตอนหลังคงมีคนไปบอกเวลาขับรถผ่านหน้าบ้านผมรีบขับออกไปอย่างรวดเร็วไม่กล้าหันมามองอีกเลย...พอเสร็จเรื่องไปแล้วอีก ๒-๓ เดือนต่อมาได้ข่าวว่าเข้าโรงพยาบาล...นอนอยู่ไม่กี่วันก็เสียชีวิต...ผมพอได้ฟังข่าวก็สลดใจนึกอโหสิกรรมให้ในทันที...มาฉุกคิดได้ว่าเราก็เคยพูดให้เขาตาย...ชรอยการที่พ่อท่านคล้ายท่านคายชานหมากมาให้......จะมีผลทำให้เกิดเรื่องพวกนี้ขึ้นมาได้กระมัง...

คือ...เป็นไปตามปาก...พอคิดถึงข้อนี้...หลังจากนั้นต่อมา...จะพูดให้ร้ายใครผมต้องตรึกตรองให้รอบคอบ...ก่อนที่จะกล่าววาจาอันใดออกไป...

 

 

 

 

 

 

 

 

bottom of page